ป้องกันการเกิดอากาศใต้ผิวหนังภายหลังการใส่ท่อระบายทรวงอก ดังนี้ - ตรึงท่อระบายทรวงอกให้อยู่กับที่โดยปิดรอบแผลด้วยก๊อส ปิดทับด้วย Adhesive plaster - สังเกตว่าท่อระบายทรวงอกเลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมหรือไม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าปิดแผล หากพบความผิดปกติให้รีบรายงานให้แพทย์ทราบ - ดูแลให้ระบบระบายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้มีการหัก พับ และการอุดตันท่อยาง และขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระมัดระวังไม่ให้มีการดึงรั้งของท่อระบายทรวงอก 2. ประเมินและบันทึกลักษณะของผิวหนังรอบแผลที่ใส่ท่อระบายทุกเวร ถ้าพบความผิดปกติต่อไปนี้ให้รีบรายงานแพทย์ - เมื่อคลำผิวหนังรอบแผล หน้าอก และคอ พบว่ามีเสียงกรอบแกรบลักษณะคล้ายมีฟองอากาศอยู่ใต้ผิวหนังเป็นบริเวณกว้าง - ตรวจพบว่าปริมาณฟองอากาศใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในกรณีมีอากาศใต้ผิวหนังมาก่อน 3. ช่วยเหลือแพทย์ในการแก้ปัญหาในกรณีที่มีอากาศใต้ผิวหนัง เช่น การเปลี่ยนชุดท่อระบายทรวงอก 8. ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองลดลงเนื่องจากถูกจำกัดการเคลื่อนไหว/ระดับความรู้สึกตัวลดลง/เจ็บปวดขณะเคลื่อนไหวร่างกาย ข้อมูลสนับสนุน - บ่นปวดตึงแผลที่ใส่ท่อระบายทรวงอก/แผลผ่าตัด เวลาเคลื่อนไหวร่างกาย - นอนนิ่งไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกาย จุดประสงค์ 1.
Vasopressor ให้ขนาดถูกต้อง? Infusion pump ทำงานปกติ? ประเมิน clinical แล้วเข้าได้กับภาวะ hypotension หรือไม่ ให้ fluid resuscitation เพียงพอ? ประเมินสาเหตุซ้ำอีกครั้ง มีสาเหตุใหม่? (hidden bleeding, AMI, aortic dissection, pulmonary embolism, cardiac tamponade, Iatrogenic pneumothorax, adrenal insufficiency, anaphylaxis) Ref: Tintinalli ed8th, Marino's The ICU Book ed4th
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดลเลือดดำอย่างเพียงพอตามแผนการรักษาของแพทย์ 4. ดูแลให้ได้รับออกซิเจน หรือเครื่องช่วยหายใจตามแผนการรักษาของแพทย์ 5. เตรียมเลือดไว้ให้พร้อมใช้ทันที และให้เลือดตามแผนการรักษาของแพทย์ ระหว่าให้เลือดให้สังเกตอาการผิดปกติจากการให้เลือด 6. หากมี Central line ให้วัด CVP ทุก 2-4 ชั่วโมง keep 8-12 cmH 2 O 7. เจาะ Hct ทุก 4-6 ชั่วโมงตามแผนการรักษา keep Hct > 30% 8. บันทึกจำนวนปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง keep > 30 cc. / ชั่วโมง ถ้าผิดปกติให้รายงานแพทย์ 9. บันทึกจำนวนสารน้ำเข้าและออก รวมทั้งปริมาณเลือดที่ออกในแต่ละเวร 7. เสี่ยงต่อภยันตราย/การเกิดภาวะมีอากาศใต้ผิวหนัง เนื่องจากมีการเลื่อนผิดตำแหน่งของท่อระบายทรวงอก/มีการฉีกขาดของเส้นเลือดในปอด ข้อมูลสนับสนุน - มีภาวะซี่โครงหักหลายซี่ - มีภาวะอกรวน ( fail chest) - คลำพบเสียงกรอบแกรบบริเวณหน้าอก คอ เป็นบริเวณกว้าง - แน่นหน้าอก หายใจลำบาก - บริเวณทรวงอกได้รับบาดเจ็บจากการกระแทก จุดประสงค์ 1. ไม่เกิดภาวะมีอากาศใต้ผิวหนัง 2. ป้องกันภยันตรายจากภาวะมีอากาศใต้ผิวหนัง เกณฑ์การประเมินผล - ผิวหนังบริเวณที่ใส่ท่อระบายทรวงอก หน้าอก และคอ ไม่มีอาการบวมตึง กดแล้วไม่ได้ยินเสียงกรอบ แกรบ - ปริมาณอากาศใต้ผิวหนังไม่เพิ่มขึ้น และค่อย ๆ ลดลงจนหมดไป ในกรณีที่มีอากาศใต้ผิวหนังมาก่อน กิจกรรมการพยาบาล 1.
การตรวจเลือด แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบว่ามีการสูญเสียเลือดปริมาณมาก มีการติดเชื้อในเลือด และมีการใช้ยาเกินขนาดหรือไม่ 2.
ประเมินและบันทึกการพักผ่อนนอนหลับของงผู้ป่วยทุกเวร ถ้านอนไม่หลับให้หาสาเหตุและแก้ไขตามความเหมาะสมหรือปรึกษาแพทย์
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายช่วยเหลือตนเองได้ 2. เพื่อส่งเสริมสุขวิทยาส่วนบุคคล เกณฑ์การประเมินผล 1. เคลื่อนไหวช่วยเหลือตนเองได้ 2. ร่างกายสะอาดดี ไม่มีคราบไคล 3. สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง กิจกรรมการพยาบาล 1. ดูแลช่วยเหลือให้ได้รับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน 2. ดูแลช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบายในการรับประทานอาหาร และได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ โดย - จัดหาโต๊ะคร่อมเตียงไว้สำหรับรับประทานอาหาร - จัดวางของใช้ให้สามารถหยิบได้สะดวก - ช่วยป้อนอาหาร กรณีช่วยเหลือตนเองได้น้อย 3. ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยเกี่ยวกับการขับถ่าย ให้สามารถขับถ่ายได้ตามต้องการ และช่วยจัดสิ่งแวดล้อมให้มิดชิด และป้องกันท้องผูก โดยแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานผัก ผลไม้ ที่มีกากใยมาก และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ถ้าไม่อยู่ในภาวะจำกัดน้ำ 4. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบายและสามารถพักผ่อนได้เพียงพอ โดย 4. 1 จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่สุขสบาย และไม่รบกวนผู้ป่วยบ่อย ๆ 4. 2 บรรเทาอาการปวดแผลบริเวณที่ใส่ท่อระบายทรวงอก โดย - ให้ยาบรรเทาปวดตามแผนการรักษา - สอนให้ผู้ป่วยใช้มือ หมอน หรือผ้านุ่มกดบริเวณรอบแผลที่ใส่ท่อระบายทรวงอกเวลาหายใจอย่างลึก ๆ หรือไอ จาม - แนะนำให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ โดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลมถ้าปวดแผลมาก 5.
ภาวะช็อกจากการอุดกั้นนอกหัวใจ (Obstructive Shock) เกิดจากการที่เลือดไม่มีตำแหน่งที่จะไหลไปได้ เกิดขึ้นได้เมื่อมีอากาศหรือของเหลวสะสมในโพรงปอด เช่น ภาวะปอดรั่ว (Pneumothorax) ภาวะเลือดออกในเยื่อหุ้มปอด (Hemothorax) ภาวะบีบรัดหัวใจ (Cardiac Tamponade) 2. ภาวะช็อกจากโรคหัวใจ ( Cardiogenic Shock) เกิดจากความเสียหายที่หัวใจ ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายลดลง มักเกิดจากความเสียหายที่กล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และหัวใจเต้นช้าเกิน 3. ภาวะช็อกจากปริมาณเลือดลดลง ( Distributive Shock) เกิดจากหลอดเลือดเปิดออกและเริ่มอ่อนตัวลง ทำให้ความดันของเลือดลดน้อยลงจนไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้เพียงพอ ภาวะช็อกประเภทนี้มักทำให้เกิดอาการหน้าแดง ความดันโลหิตต่ำ และหมดสติ แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ สั่งยา ปรึกษาข้อมูลเบื้องต้น จากร้านยาใกล้บ้านคุณได้ง่ายๆ เริ่มจากแชทกับเภสัชกรที่มีใบอนุญาตผ่านแอปของเรา ฟรี!
ภาวะช็อกจากภาวะ hypovolemic มีลักษณะเฉพาะโดยปริมาตรภายในหลอดเลือดลดลงอย่างเฉียบพลัน สาเหตุหลัก ได้แก่ การสูญเสียเลือดภายนอกหรือภายใน การสูญเสียของเหลวในร่างกายนอกเหนือจากเลือด และการขยายตัวของหลอดเลือดส่วนปลายมากเกินไปซึ่งเก็บเลือดในหลอดเลือดขนาดเล็ก การนำเสนอทางคลินิกมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดโดยการปรากฏตัวของสัญญาณของการขาดออกซิเจนของเนื้อเยื่อ: ความเฉื่อย, สับสน, หรือแม้กระทั่งเย็น, ชื้น, ผิวสีฟ้าและสีซีด วัตถุประสงค์หลักของการรักษาคือเพื่อฟื้นฟูความดันหลอดเลือดแดงและการเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็วโดยทำให้ปริมาณเลือดหมุนเวียนเป็นปกติ hypovolemic shock คืออะไร? ภาวะช็อกจากภาวะ hypovolemic มีลักษณะเฉพาะโดยการลดลงของมวลเลือดหมุนเวียน ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนของหลอดเลือดดำลดลงและการขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อ เนื่องจากความดันโลหิตต่ำส่งผลให้ปริมาณเลือดเข้าสู่หัวใจต่ำกว่าปกติในแต่ละจังหวะ ส่งผลให้มีปริมาณเลือดไหลเข้าสู่ร่างกายและเซลล์ในร่างกายไม่เพียงพอ. เว้นแต่จะได้รับการชดเชยด้วยอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น การเต้นของหัวใจจะลดลง สาเหตุของภาวะช็อกจากภาวะ hypovolemic คืออะไร?
Hct 30-45% กิจกรรมการพยาบาล 1. ประเมินภาวะสูญเสียเลือดในช่องเยื่อหุ้มปอดหลังจากใส่ท่อระบายทรวงอก ดังนี้ 1. 1 ประเมินและบันทึกชีพจร การหายใจ และความดันโลหิต ทุก 15 นาทีอย่างน้อย 4 ครั้ง ทุก 30 นาทีอย่างน้อย 2 ครั้ง และทุกชั่วโมงจนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ 1. 2 ประเมินและบันทึกจำนวนสีและลักษณะของสิ่งระบายที่ออกมาทุกชั่วโมงอย่างน้อย 4 ครั้ง กรณีที่สิ่งระบายเป็นสารน้ำ หนอง ซีรั่ม ถ้าพบว่าสิ่งที่ระบายออกมาเปลี่ยนเป็นเลือดสด ร่วมกับผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว และ/หรือไม่สม่ำเสมอ ให้รายงานให้แพทย์ทราบทันที 1. 3 ประเมินและบันทึกจำนวนสีลักษณะของเลือดที่ออกมา และควรรายงานแพทย์เมื่อมีเลือดออกมากกว่า 200 cc. / ชั่วโมง ติดต่อกัน 2 ชั่วโมงในช่วงเวลา 12 ชั่วโมงแรก หรือมีเลือดออกมากกว่า 100 cc. / ชั่วโมง ในช่วงเวลา 12 ชั่วโมงต่อมา ร่วมกับผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว และ/หรือไม่สม่ำเสมอ ความดันโลหิตลดลงเรื่อย ๆ แม้จะได้รับเลือด มีเลือดออกมากกว่า 100 cc. / ชั่วโมง หลังจากใส่ท่อระบายทรวงอกเกิน 24 ชั่วโมงไปแล้ว 2. ประเมินและบันทึกภาวะสูญเสียโลหิตจากบาดแผลที่ใส่ท่อระบายทรวงอก โดยตรวจสอบทุก 4 ชั่วโมง ถ้าพบมีเลือดชุ่มจากแผลมากกว่าปกติ ให้รายงานแพทย์ 3.