เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด โดย SistaCafe 7 วิธีดูแลตัวเองให้หุ่นเพรียว หน้าท้องแบนราบ / บางทีมันก็แอบหนักใจนิดๆ ก็ดูแลตัวเองดีแล้วนะ ออกกำลังกายก็แล้ว กินคลีนก็แล้ว แต่ทำไมรู้สึกว่าทั้งพุง ทั้งขา ทั้งแขน มันยังป่องๆ พองๆ อยู่เลย เดี๋ยวนะ! หรือว่าอาการที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ มันจะเกิดจาก การบวมน้ำ! ตายแล้ว! แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ เลย แล้วอาการบวมน้ำนี่มันคืออะไร? เราว่าก็ต้องมีเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนแน่เลยที่ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาทำความรู้จักถึงอาการบวมน้ำกันสักหน่อย บวกกับวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ที่จะช่วยให้อาการบวมน้ำนี้หายไป หยิบมาฝากวันนี้ถึง 7 วิธี รับรองว่าถ้าเพื่อนๆ ได้ลองทำตามวิธีเหล่านี้ จะต้องกู้หุ่นเพรียวๆ สวยๆ กลับมาได้อย่างแน่นอน พร้อมจะรีดความบวมออกจากร่างแล้วรึยัง ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูเคล็ดลับทั้งหมดนี้กันเลย!! อาการบวมน้ำคืออะไร?
สับปะรด สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ และช่วยขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย พร้อมทั้งช่วยลดปริมาณแก๊สในกระเพาะอาหาร ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และลดอาการบวมน้ำที่เกิดจากการอักเสบได้อีกเช่นกัน 5. กล้วย กล้วยมีสารอาหารประเภทโพแทสเซียมสูง ซึ่งมีส่วนช่วยลดความดันโลหิตสูง และช่วยปรับสมดุลน้ำหรือของเหลวได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งช่วยลดอาการบวมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. กีวี กีวีประกอบไปด้วยเอนไซม์ที่มีส่วนช่วยย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด และยังมีสารโพแทสเซียมสูงที่มีส่วนช่วยลดความดัน ช่วยควบคุมปริมาณของเหลวภายในเซลล์ และช่วยลดอาการบวมได้เป็นอย่างดี 7. มะละกอ ในมะละกออุดมไปด้วยเอนไซม์ที่มีส่วนช่วยย่อยอาหาร และลดกรดแก๊สภายในกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการขับถ่าย จึงช่วยทำให้อาการท้องอืด พุงป่อง และตัวบวมทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด 8. แตงโม แตงโมช่วยในเรื่องของการขับส่วนเกินในร่างกายและปรับสมดุลแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกายให้อยู่ในระดับคงที่ ซึ่งช่วยลดอาการบวมได้ดี และยังมีไฟเบอร์พร้อมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลดีแก่ร่างกายอีกด้วย จะเห็นได้ว่าอาหารที่ช่วยลดอาการบวมพร้อมทั้งช่วยขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายนั้น ส่วนใหญ่จะอุดมไปด้วยปริมาณน้ำที่ค่อนข้างเยอะ เพราะมีผลต่อการขับปัสสาวะและการขับถ่าย รวมทั้งอุดมไปด้วยสารอาหารชนิดต่างๆ ที่ช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารและลดกรดแก๊สในกระเพาะอาหารด้วย เนื่องจากเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวมนั่นเอง
นวดเบาๆ ตามทิศทางการไหลเวียนตามธรรมชาติของของเหลวเข้าหาหัวใจ แต่ในกรณีที่มีอาการบวมน้ำรุนแรง ควรให้หมอนวดผู้เชี่ยวชาญช่วยนวดให้ด้วยวิธีการที่เรียกว่า "การนวดระบายน้ำเหลือง" 4 ลดปริมาณเกลือที่ร่างกายได้รับ. การทานเกลือในปริมาณมากจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำและทำให้อาการบวมน้ำแย่ยิ่งขึ้น ลองปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับปริมาณโซเดียมที่คุณควรได้รับในแต่ละวัน [3] การทำอาหารทานเองที่บ้านบ่อยๆ แทนที่จะออกไปทานข้างนอกเป็นอีกหนึ่งวิธีการดีๆ ในการตรวจเช็คปริมาณเกลือที่ร่างกายได้รับ อาหารส่วนใหญ่ยังคงรสชาติแซ่บเว่อร์ได้แม้คุณจะลดปริมาณเกลือลงถึงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น ลองทดลองกับการทำขนมและอาหารของคุณเองเพื่อเสาะหาสูตรที่ยังคงความอร่อยเหาะได้ด้วยปริมาณเกลือที่น้อยกว่า 5 ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ. มื้ออาหารที่เต็มไปด้วยผัก ผลไม้ และอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ สามารถช่วยลดอาการอักเสบได้ อาหารจำพวกปลา อาหารทะเล ผัก ผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง ดอกทานตะวัน ถั่วเม็ด ถั่วฝัก มันฝรั่ง อัลมอนด์ และโฮลเกรนล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และอย่าลืมใช้น้ำมันหรืออาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันไม่อิ่มตัว การรับประทานอาหารที่มีวิตามินบีและธาตุเหล็กสูงสามารถช่วยลดอาการบวมน้ำได้ คุณจึงควรทานผักใบเขียว โฮลเกรน และผักทะเลให้มากๆ [4] ทานอาหารที่มีคุณสมบัติเป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ เช่น ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง และบีทรูท [5] 6 ลองรักษาด้วยสมุนไพร.
ท่าศาลา จ. นครศรีธรรมราช โดยส่วนประกอบคือ โคลนทะเลบ้านแหลม ดองดึง เหง้าขิง เหง้าไพล หญ้านาง และบัวบก ทั้งนี้ โคลนทะเลบ้านแหลม อ.
ลิ้นหัวใจรูมาติค เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงลิ้นหัวใจ ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเกิดพังผืดและหินปูนมาเกาะจนไม่สามารถเปิด – ปิดได้เหมือน คนปกติทั่วไป ทำให้ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วขึ้น ส่งผลให้หัวใจวายได้ 2. ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามวัย มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพทำให้ลิ้นหัวใจผิดรูป เปิด-ปิดไม่สนิท เกิดอาการลิ้นหัวใจรั่วได้ 3.
ทานเค็มมากเกินไป ไม่ว่าจะบริโภคเกลือหรือโซเดียมมากเกินไปสามารถทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำส่วนเกินจนทำให้เกิดอาการบวมที่ใบหน้าและร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้า 6. แสงแดด หากดวงตาได้รับแสงแดดมากเกินไป การตอบสนองตามธรรมชาติคือ การอักเสบ ที่ทำให้เกิดอาการบวม 7. การติดเชื้อที่ตา อาจทำให้เกิดอาการบวมใต้ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง โดยการติดเชื้อและอาการบวมมักจะเกิดขึ้นในตาข้างหนึ่งก่อน จากนั้นสามารถแพร่กระจายไปยังตาอีกข้างหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เยื่อบุตาอักเสบ หรือที่เรียกว่าตาสีชมพู เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส สารเคมี และสารระคายเคืองอื่นๆ ตากุ้งยิง เกิดจากการติดเชื้อในรูขุมขนหรือต่อมน้ำตา โดยปกติจะเริ่มจากการปุ่มเล็ก ๆ ตามแนวขนตา โดยมีอาการบวมแดง ตัน และมีหนองในตาหรือเปลือกตา ชาลาซิออน คล้ายกับกุ้งยิง โดยอาการบวมที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วและไม่เจ็บปวดในบริเวณของเปลือกตา ซึ่งเกิดจากท่อต่อมอุดตันขอต่อมไขมัน ในเปลือกตา 8. ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้เกิดของเหลวสะสมรอบดวงตา โดยปกติการประคบร้อนและล้างตาด้วยน้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อจะช่วยขจัดสิ่งอุดตัน บางครั้งสาเหตุของท่อน้ำตาอุดตันในผู้ใหญ่อาจมีสาเหตุจากเนื้องอก ซึ่งมีอาการดังนี้ น้ำตาไหล อาการบวม หนอง ฝี หรือเมือก มองเห็นภาพซ้อน ตาอักเสบ ตาแดง 9.
อาการบวมน้ำเกิดจากของเหลวถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้มือ เข่า เปลือกตา และอวัยวะส่วนอื่นๆ บวมเป่ง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการใช้ยาบางชนิด การตั้งครรภ์ การสะสมของเกลือ ภูมิแพ้ หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหารการกิน และการใช้ยาขับปัสสาวะมักได้ผลในการรักษาหรือบรรเทาอาการบวมน้ำ ลองอ่านบทความด้านล่างเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีลดอาการบวม 1 ขยับแข้งขยับขา. การนั่งนิ่งนานเกินไปมักทำให้อาการบวมน้ำแย่ยิ่งขึ้น เพราะของเหลวในเนื้อเยื่อร่างกายหยุดนิ่งไม่ไหวติง การออกกำลังกายเบาๆ จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนและปั๊มของเหลวกลับเข้าสู่หัวใจ ซึ่งช่วยให้อาการบวมลดลงได้ในที่สุด [1] ออกไปเดินเล่นแค่ระยะสั้นๆ แต่เน้นหลายรอบเข้าไว้เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การเดินเพียง 15-30 นาที วันละหลายๆ ครั้งสามารถช่วยลดอาการบวมได้ หรือจะเดินเร็วก็ได้ถ้าร่างกายเอื้ออำนวย ระหว่างพักจากการเดินในแต่ละรอบ ให้พยายามยกแขนยกขา (ไม่จำเป็นต้องใช้ดัมเบล) ในขณะที่นั่งหรือนอนลง 2 ยกแขนหรือขา. วางส่วนที่มีอาการบวมพาดลงบนเก้าอี้เล็กๆ หรือหมอน โดยให้อวัยวะนั้นยกขึ้นเหนือระดับหัวใจของคุณเล็กน้อย [2] ประมาณ 30 นาที 3-4 ครั้งต่อวัน หากมีอาการบวมน้ำรุนแรง คุณอาจต้องยกลำตัวหรืออวัยวะบางส่วนให้สูงขึ้นในขณะหลับ (การวางก้อนอิฐหรือท่อนไม้ไว้ "ใต้ขาเตียง" อาจช่วยได้) 3 นวดส่วนที่บวมเป่ง.
ผิวบางรอบดวงตามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการบวมหรือเกิดการปรากฏตัวของถุงใต้ตา อาการบวมที่เปลือกตาบนหรือเปลือกตาล่างมักจะหายไปเองภายในหนึ่งวัน แต่ถ้ามีอาการบวมนานขึ้นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด อันนาปุรณะ ซิงห์ จักษุแพทย์ กล่าวว่า หากมีอาการบวมที่กินเวลานานกว่า 24 – 48 ชั่วโมงควรไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลดวงตา เนื่องจากอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณบอกอาการรุนแรงที่อาจทำให้ตาบอด ซึ่งสาเหตุของอาการตาบวมมีหลายประการ ดังนี้ 1. การนอนหลับไม่เพียงพอ นอกจากสามารถทำให้เปลือกตาตก ตาแดง ตาบวม และรอยคล้ำใต้ตาแล้ว อาการอื่น ๆ ได้แก่ ผิวซีด ปากห้อย รวมทั้งสามารถนำไปสู่การสูญเสียคอลลาเจน 2. เงื่อนไขทางพันธุกรรม อาการบวมใต้ตาไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก แต่เป็นภาวะทางพันธุกรรมและช่วงตามอายุ 3. อาการแพ้ ไม่ว่าจะแพ้เกสรดอกไม้ ฝุ่น ควัน มลพิษ น้ำหอม สัตว์เลี้ยง รวมไปถึงโรคผิวหนังภูมิแพ้ ทำให้เกิดการระคายเคืองรอบดวงตาและเปลือกตา ซึ่งอาจนำไปสู่อาการบวม เนื่องจากกลไกการป้องกันตามธรรมชาติของผิวหนัง 4. สูบบุหรี่ ชิชาร์ ซิการ์ รวมอยู่ใกล้ควันบุหรี่มือสอง สามารถทำให้เกิดถุงใต้ตาบวมได้ เนื่องจากนิโคตินที่พบในบุหรี่เป็นหนึ่งในสารที่รบกวนรูปแบบการนอนหลับ แถมยังทำลายความยืดหยุ่นของผิวและการผลิตคอลลาเจนให้ลดลง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังดูบวมหรือหย่อนคล้อย 5.