30 น. คงเพชร ถูกแจ้ง 5 ข้อกล่าวหา ประกอบด้วย 1. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความ ครอบครองโดยผิดกฎหมาย 2. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดนอกจากที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง ซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครอง 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 พาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร 4. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ร่วมกันต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ 5. พ. ร. บ. จราจรฯ พ. ศ. 2522 มาตรา 122 ไม่สวมหมวกนิรภัย ขณะที่คทาธร ถูกแจ้งข้อหา พ. 2522 เพิ่มอีก 2 มาตรา คือ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนรถ, ขับรถไม่เป็นไปในทิศทางที่กําหนด (ย้อนศร) ผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเป็นหนังสือภายในวันที่ 10 พ. ค. 2565 โดยทั้งสองได้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ บช. 11 เม. 2565 พนักงานสอบสวนสน. พญาไท ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลอาญา ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ต่อมาศาลอนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยเห็นว่าความผิดที่ถูกกล่าวหาเป็นข้อหาร้ายแรง มีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีได้ จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ทั้งสองคนถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ #ยุติธรรมไม่มี12เราไม่ลืม คงเพชร คทาธร สน.
เมื่อวันที่ 10 เม. ย. 2565 เวลา 16. 35 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับแจ้งว่า สมาชิกกลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2 คน ถูกตำรวจจับกุมจากเหตุมีระเบิดไว้ในครอบครอง ก่อนจะถูกนำตัวไปที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช. ปส. ) ถ. วิภาวดีรังสิต 19. 00 น. ภายหลังทนายความได้เข้าพบผู้ต้องหา ทราบชื่อภายหลังคือ คทาธร อายุ 26 ปี และ คงเพชร อายุ 18 ปี ทั้งสองคนถูกจับกุมขณะกำลังเดินทางจากย่านดินแดงไปยังแยกราชประสงค์ เพื่อร่วมงานรำลึก 12 ปี การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง 10 เมษา 53 #ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม โดยถูกตำรวจยึดโทรศัพท์ไม่ให้ติดต่อญาติ โดยตำรวจได้จัดทำบันทึกจับกุมเสร็จสิ้นก่อนทนายความจะเข้าพบแล้ว เมื่อทนายความเดินทางไปถึง บช. ตำรวจกำลังขอให้ผู้ต้องหาทั้งสองคนให้ความยินยอมในการเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์มือถือเพื่อยืนยันหน้าเฟซบุ๊กและไลน์ที่เจ้าตัวใช้งาน อย่างไรก็ดีทั้งสองคนไม่ให้การยินยอม บริเวณลำคอของคทาธรมีแผลจากการถูกบีบ กระชากคอ ขณะถูกจับกุม ขณะที่บริเวณแขนของทั้งสองคนมีรายขีดข่วนจากการใส่กุญแจมือ คงเพชรยังได้เล่าว่า ตนถูกตำรวจตีเข่าถึง 3 ครั้ง ร. ต. อ. บุญลือ ทางตรง รองสารวัตร สน.
บางปะอิน สาขาย่อย สินทิวาธานี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรคืบหน้า เนื่องจากว่านายปุ่น อดีตสามียังมาก่อกวนและราวีทำให้ตนเองรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก อีกทั้งยังห่วงความรู้สึกของลูกชายที่ต้องมาเห็นพฤติกรรมความรุนแรงของพ่อที่มาทำร้ายแม่ ด้าน พ. ต. อ. พัทธนันท์ ทรงสมถวิล ผกก. สภ. บางปะอิน เปิดเผยว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ไปเก็บข้อมูลพร้อมจะได้เชิญตัวสามีผู้ก่อเหตุเข้ามาสอบสวน หากมีหลักฐานเกี่ยวกับเข้าข่ายคดีอาญาก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที —————————– ติดตาม รายการ "ถกไม่เถียง" ดำเนินรายการโดย "ทิน โชคกมลกิจ" ภายใต้การผลิตของบริษัท เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ได้ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 17. 00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และสามารถรับฟังผ่านทาง facebook: YouTube: TikTok: @terodigital IG: Twitter:
บางเขน ทั้งนี้ทีมข่าวโทรศัพท์สอบถามพันตำรวจโทคำรณ เมตตาวิวัฒน์ รองผู้กำกับการ สน. บางเขน ระบุว่า แบริเออร์ที่เกิดเหตุ เดิมเป็นของผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้า ซึ่งหลังเสร็จงานไม่ได้นำกลับไปด้วย ทางตำรวจจึงนำมาใช้อำนายความสะดวกด้านการจราจรกั้นจุดกลับรถในช่วงเวลาเร่งด่วน เดิมเคยเติมน้ำและทรายถ่วงแบริเออร์ไว้ไม่ให้ปลิวตามแรงลม แต่มีรถขับชนทำให้ทรายและน้ำน้อยลง และแบริเออร์รั่ว ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ต้องพิจารณาว่าจะใช้อะไรมากั้นแทนจุดนี้ ส่วนเจ้าของรถบรรทุก เมื่อเห็นคลิปได้ติดต่อมาเพื่อจะรับผิดชอบผู้เสียหายและเข้าพบตำรวจแล้วส่วนจะเข้าข่ายความผิดอะไรบ้างจะพิจารณาอีกครั้ง แต่เบื้องต้นคาดว่า เข้าข่ายมีความผิด พ. ร. บ. จราจร เพราะในคลิปมีการขับขี่เลนขวาด้วย ขณะที่ในมุมมองของนายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือทนายโป้ง ระบุว่า จากคลิปความรับผิดชอบในกรณีนี้ควรเป็นผู้ที่ นำแบริเออร์มาวาง เพราะถือว่าสิ่งที่วางบนผิวจราจรจะต้องมีความปลอดภัย ดังนั้นการที่นำมาวางโดยที่ไม่ได้ยึดติดให้มีความมั่นคงปลอดภัยหรือทำให้มีน้ำหนักที่ติดกับพื้นผิวจราจรก็ย่อมเกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้ " คนที่รับผิดชอบกรณีนี้ก็น่าจะเป็นผู้ที่เอาแบริเออร์เนี่ยมาวาง โดยที่ปราศจากความระมัดระวัง แล้วก็เรื่องของการที่จะพึงที่จะเล็งเห็นผลได้ว่าถ้าเป็นแท่งแบริเออร์เปล่าๆเนี่ยหากมีลมพัดแรงเนี่ยนะฮะ ก็จะปลิวได้ อันนี้ต้องแยกออกจากพ.
โซเชียลแห่แฉหลังมีการแชร์คลิปสิบล้อขับเร็วและวิ่งขวา ดูดแท่งแบริเออร์ปลิวมากลางถนน ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ชนจนล้มบาดเจ็บ ถกสนั่นใครต้องรับผิดชอบ?