เปิดเครื่องดูดทดลองควบคุมแรงดูดให้ได้ระหว่าง 8 0 -1 2 0 มม. ปรอท 5. ปลดข้อต่อท่อหลอดลมจากสายเครื่องช่วยหายใจหรือจากสายส่งออกซิเจน ใช้มือขวาสอดสายดูดเสมหะผ่านท่อหลอดลมอย่าง รวดเร็ว 6. เมื่อสอดสายดูดเสมหะเข้าไปในหลอดลมลึกลงไปจนใส่เข้าไปไม่ได้อีกแล้ว ใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายปิดรูที่ตัวควบคุมเพื่อดูด และ ปล่อยเป็นระยะ โดยดูด 2-3 วินาทีแล้วหยุด ดึงสายขึ้นเล็กน้อยแล้วทำซ้ำ ระหว่างดูดเสมหะถ้าสายดูดไม่มีรูด้านข้าง ให้หมุน สายดูดด้วยเพื่อให้ดูดได้ทั่วถึง ใช้เวลาโดยรวมสำหรับการดูดเสมหะแต่ละครั้งประมาณ 15 วินาที หรือชั่วอึดใจของผู้ทำการ ดูดเสมหะ เนื่องจากแขนงหลอดลมข้างขวาจะเฉียงน้อยกว่าซ้ายทำให้สายดูดเข้าหลอดลมข้างขวาง่ายกว่า ดังนั้นถ้าต้องการให้ สายดูดเข้าหลอดลมข้างซ้ายให้หันหน้าผู้ป่วยไปทางขวา 7. ถ้าผู้ป่วยมีเสมหะมาก ให้ทำการดูดซ้ำอีก 2-3 ครั้ง ถ้ายังไม่หมดให้ต่อออกซิเจนกลับเข้าไปหรือบีบ Ambu TM bag ใหม่ แล้วจึงทำการดูดเสมหะซ้ำ 8. เมื่อดูดเสมหะหมดแล้ว ให้ดูดน้ำเปล่าผ่านสายดูดเล็กน้อยก่อนปลดใส่ภาชนะที่ใช้รวบรวมสายดูดหลังใช้งานแล้ว 9. ถ้าเสมหะเหนียวข้นมาก ให้หยอดน้ำเกลือนอร์มัลปลอดเชื้อประมาณ 2-5 มล.
ประเมินสภาพการหายใจทุก 4 ชั่วโมง เช่น การฟังเสียงการหายใจ สังเกตการณ์ขยายของทรวงอก สังเกตความสามารถในการหายใจเองของผู้ป่วย สังเกตภาวะพร่องออกซิเจน 3. ดูดเสมหะทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเสมหะ โดยใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ ในการดูดเสมหะ จะต้องเพิ่มออกซิเจนก่อนและหลังดูดเสมหะทุกครั้ง 4. สังเกตการทำงานของ ventilator เช่น VT FiO 2 อัตราการหายใจ mode ของ ventilation การใช้ PEEP CPAP หรือ PSV peak inspiration pressure และตั้งสัญญาณเตือน 5. วัดความดันของกระเปาะ ( cuff) ET – tube หรือท่อเจาะคอ โดยจะต้องใส่ลมในกระเปาะ (inflate cuff) ในอัตราที่พอเหมาะ เพื่อป้องกันการรั่วของอากาศออกรอบๆกระเปาะ 6. สังเกตภาวการผันแปรของออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจ เช่น pulse oximetry, ABG 7. ติดตามผลเอกเซเรย์ปอด เพื่อติดตามการบวมของปอด หรือตำแหน่งของท่อหายใจ 8. กระตุ้นและช่วยเหลือผู้ป่วยเปลี่ยนท่านอนทุก 1-2 ชม. จัดให้นอนศีรษะสูง 30 องศา เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดี 9. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังให้การพยาบาล 10. แยกของใช้ เช่น Ambu bag, ขวดน้ำเครื่องดูดเสมหะ ในผู้ป่วยแต่ละคน 11. ทำความสะอาดปากฟันทุก 4 ชม. 12. ดูดเสมหะในปากก่อนดูดเสมหะในท่อหลอดลมคอ 13.